วันนี้ไปเกียวโต นั่งจากสถานี Shin Immamiya ไปสถานี Osaka ต่อสาย Jr Kyoto Line เพื่อไปเกียวโตลงสถานีเกียวโต วันนี้อากาศหนาวมากเลย มีฝนตกพลัมๆ ด้วยไปถึงก็ไปซื้อตั๋วรถบัสตั๋ววัน วันละ 500 เยน ขอแผนที่รถบัสเค้ามาด้วย ที่นี่โดยมากต้องเที่ยวด้วยรถบัส เริ่มที่แรกไป ปราสาทนิโจ นั่งรถสาย.....ถ้าจำไม่ผิด สาย 9 มั้ง จริง ที่สถานีเกียวโต ตรงท่ารถเค้าจะเขียนไว้เลยว่าสายนี้ไปวัดไหนบ้าง ถ้าไม่แน่ใจถามเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ก็ได้เค้าบอกให้ ค่าเข้าปราสาท 600 เยน
ปราสาทนิโจ โอดะ โนบุนางะ สั้งให้สร้างในปี 1569 แต่เสร็จในยุคโทกุงานวะ อิเอยะสุ ขึ้นครองอำนาจต่อ ชอบที่ปราสาทนิโจมาเลยเพราะ ข้างในยังคงสภาพเก่าไว้ให้เห็น ข้างในห้องต่างๆ มีลวดลายวาดต่างๆ สวยงาม มีทั้งเป็นห้องรูปมังกร รูปพยัคฆ์ปิดทอง สวยงามมัก ปราสาททำด้วยไม้ บริเวณแรกๆ ทีเดินไปถึง พื้นห้องจะมีเสียงเอี๊ยๆ ไม่ว่าจะพยายามเดินเบาเท่าไหร่ก็มีเสียงเพื่อให้คนในปราสาทรู้ว่ามี คนมา ห้องต่างๆ นั้น ห้องที่สำคัญจะมีหุ่นขี้ผึ้งจัดแสดงเช่นห้องว่าการ ก็มีตำแหน่ง โชกุน ตำแหน่งผู้ว่าการต่างๆ ท่านโชกุนจะนั่งห่างกับผู้ เข้าเฝ้า แล้วข้างๆ ท่านโชกุนนั่งจะมีห้องเล็กๆ เป็นห้องของบอร์ดี้การ์ดอะ ห้องซามุไรซิ เอาไว้เผื่อมีใครคิดร้ายท่าโชกุน ซึ่งยังไงๆ บอร์ดี้การด์ที่อยู่ใกล้ท่าโชกุนที่สุดก็ป้องกันท่านโชกุนได้ก่อนอยู่แล้ว ในส่วนของห้องพักผ่อนท่าโชกุนก็มีหุ่นขี้ผึ้งแสดงไว้ มีต่ำแหน่งท่านหญิง ตำแหน่งสนม ตำแหน่งคนใช้ต่างๆ จัดแสดงไว้ให้เห็น ชอบที่นี่มากเลย เก่าดี


ออกมาจากตัวปราสาทก็เดินบริเวณสวนต่อเป็นส่วนกว้างมากสร้างขึ้นเพื่อการเดินเล่นโดยเฉพาะ กว้างจริงๆ กว้างจนดูเหมือนว่าเราจะเดิน สวนทางกับชาวบ้านเค้า เหมือนเราจะเดินย้อนวนไปทางเข้า แทนที่จะเดินวนไปทางออก เพราะอะไรถึงรู้ เพราะว่าไม่เจอร้านขายของฝากนะซิ โฮฮฮ ว่าจะซื้อหนังสือภาพปราสาทนิโจสักหน่อยเพราะเค้าไม่ให้ถ่ายรูปข้างใน เลยไม่ได้ซื้อเลย ไม่เจอร้านเลยลืม ที่นี่ถ้าซากุระบานเต็มที่คงสวยน่าดูเพราะระหว่างทางเห็นต้นซากุระเริ่มพลิดอกเต็มไปหมดเลย บริเวณสวนท่านโชกุนนั้น มีต้นปาลม์ด้วยนะ แต่ว่าเนื่องจากช่วงอากาศหนาวอยู่ ก็เลยมีการใส่เสื้อหนาวให้ต้นปาล์ม หุหุหุ ก็แค่เอาฟางมาพันรอบๆ ต้นปาล์มเอง เหมือนให้ต้นปาล์มจำศีลเลย






เสร็จจากนิโจโจ ก็ไปวัดคิงคะกุจิ (วัดทอง) นั่งรถเมล์สาย 101 มั้ง มาถึงนี่ฝนก็ลงเม็ดซะแล้ว หนาวอะ คนเยอะร่มเต็มไปหมดเลยวัดทองก็ยังสวยเหมือนเดิม หลังจากมาเยี่ยมไปเมื่อฤดูใบไม้ร่วง ตอนนี้ซากุระก็ยังไม่บานเต็มที่เช่นเคย เลยได้ชมวัดทองเวอร์ชั่นสายฝน ค่าเข้าวัดทอง 400 เยน
คิงคะกุจิสร้างขึ้นใหม่ในปี 1955 จำลองแบบมาจากของเก่าเมื่ศตวรรษที่ 15 และทำการปิดทองครั้งหลังสุดปี 1987 เป็นอาคารสามชั้น
ชั้นแรกสร้างตามแบบพระราชวัง ชั้นสองสร้างตามแบบบ้านซามูไร ชั้นสามสร้างตามแบบวัดพุทธในนิการเซน วัดหลังเดิมถูกพระภิกษุรูปหนึ่งลอบวางเพลิงจนวอดในปี 1950 ภิกษุรูปนี้เข้ามาบวชเพราะหลงใหลในความงามของวิหารและคิดว่าตนเองจะเข้าถึงแก่นแท้ของความงามได้หากเผาทำลายวัตถุธาตุแห่งความงามนั้นไปเสีย
ชั้นแรกสร้างตามแบบพระราชวัง ชั้นสองสร้างตามแบบบ้านซามูไร ชั้นสามสร้างตามแบบวัดพุทธในนิการเซน วัดหลังเดิมถูกพระภิกษุรูปหนึ่งลอบวางเพลิงจนวอดในปี 1950 ภิกษุรูปนี้เข้ามาบวชเพราะหลงใหลในความงามของวิหารและคิดว่าตนเองจะเข้าถึงแก่นแท้ของความงามได้หากเผาทำลายวัตถุธาตุแห่งความงามนั้นไปเสีย
วันนี้ฝนตก ภาพวัดทองที่สะท้อนลงน้ำนั้นเลยไม่ชัดเลย


จากคิงคะกุจิจะไปต่อวัดนันเซ็นจิ โดยนั่งรถบัส 204 ไปลงที่ถนนนักปราชญ์แล้วก็เดินๆ ไปวัดนันเซ็นจิ ถนนเส้นนี้เค้าว่าข้างทางซากุระสวยมากกกก แต่ท่าจะไม่เห็นเพราะมันยังไม่ค่อยบานกันเลยแถมฝนตกอีก อ้อ ป้ายรถเมล์ที่เกียวโตนี่ พิกกี้ชอบมากเลย มันจะบอกว่ารถสายนี้ อีกกี่นาทีมาถึง ตอนนี้อยู่ที่ไหน มันทำงานได้จริงๆ นะ ไม่ได้โม้ เห็นกับตา เลย สุดยอดดดดสงสัยว่าจะมีเซนเซอร์ติดทีรถบัส..มั้ง หุหุหุ แล้วรถบัสที่นี่นะ ขึ้นทางประตูหลัง ลงตรงประตูหน้า จ่ายเงินตอนออก ตอนรถจอดนะ รถจะค่อยๆ เอียงด้านที่คนขึ้นลงให้เทียบใกล้พุตบาทที่สุดอะแบบระบบไฮโดริก โอ้ววว สุดยอด คนญี่ปุ่นก็จะเข้าแถวขึ้นรถกัน
เราไปถีงถนนสายนักปราชญ์(ถนนพิโลโซเฟีย) ก็... ท่ามกลางสายฝน เห้อ หนาวมากกกก หนาวจับใจ รู้งี้เอาถุงมือกับผ้าพันคอมาด้วยก็ดีอะไม่คิดว่าจะหนาวขนาดนี้ เดินๆ ไปท่ามกลางสายฝนปรอยปรายและธรรมชาติป่าสน สวยงามมากเป็นเขา แต่ว่า ขาแข็ง มือแข็ง นิ้วเริ่มไร้ความรู้สึก หนาวจับใจ หายใจเป็นควัน โฮฮฮฮ ไม่ได้เตรียมมาหนาวขนาดนี้ สงสัยวัดนี้อยู่บนเขาด้วยแหละ

วัดนันเซ็น นี้เดิมเป็นวัง แต่จักรพรรดิคาเมะยามะ ทรงเลื่อมใสในการนั่งสมาธิ ธรรมะมากจนยกวังส่วนนี้ให้สร้างวัดนันเซ็นขึ้นในปี 1290
ภายในวัดประกอบด้วยวิหารใหญ่หนึ่งหลังกับวิหารเล็กอีก 12 หลัง แต่เปิดให้เข้าชมเพียงสี่หลัง แต่ว่า ถึงจะเปิดให้เข้าขมก็เท่านั้นเพราะเชงเริ่มบอกว่า พิกกี้ เรากลับกันเถอะมันฝนปรอยปราย และหนาวจัด พิกกี้ก็เห็นด้วยถึงแม้ว่าจะเห็นแล้วว่าที่นี่สวยงามขนาดไหนแต่ก็ไม่ไหวเหมือนกันงะ แต่ที่นี่สวยจริงๆ นะ พิกกี้ชอบมากเลย แค่มาถึงตรงปากทางมันยังดูยิ่งใหญ่และสวยมากแม้จะยังไม่เห็นตัววัดเลยก็เถอะ แต่รอบนอกวัดก็อลังการแล้วธรรมชาติ สวยงามมาก เลยว่า พรุ่งนี้ค่อยมากัน ต้องมาให้ได้
ภายในวัดประกอบด้วยวิหารใหญ่หนึ่งหลังกับวิหารเล็กอีก 12 หลัง แต่เปิดให้เข้าชมเพียงสี่หลัง แต่ว่า ถึงจะเปิดให้เข้าขมก็เท่านั้นเพราะเชงเริ่มบอกว่า พิกกี้ เรากลับกันเถอะมันฝนปรอยปราย และหนาวจัด พิกกี้ก็เห็นด้วยถึงแม้ว่าจะเห็นแล้วว่าที่นี่สวยงามขนาดไหนแต่ก็ไม่ไหวเหมือนกันงะ แต่ที่นี่สวยจริงๆ นะ พิกกี้ชอบมากเลย แค่มาถึงตรงปากทางมันยังดูยิ่งใหญ่และสวยมากแม้จะยังไม่เห็นตัววัดเลยก็เถอะ แต่รอบนอกวัดก็อลังการแล้วธรรมชาติ สวยงามมาก เลยว่า พรุ่งนี้ค่อยมากัน ต้องมาให้ได้

กลับโอซาก้า ก่อนกลับ ยังลั้นลาอยู่แถบสถานีเกียวโต มันมีห้างอิเซตัน อยู่ในห้างอุ่นกว่าข้างนอกเยอะเลย ของกินและขนมเค้กเพียบ เค้กสวยๆ เพียบบบบ ชอบอะ เลยซื้อมาแบ่งกันกิน กินแล้วอร่อยสุดๆ เลยแหละ พอดีว่าเรามาถึงสนานีเกียวโตค่องข้างดึก ประมาณ สามหรือสี่ทุ่มนี่แหละ เค้าก็เลยขายข้าวลดราคา ก็เลยถล่าไป ซื้อข้าวกล่องเต้าหูห้อข้าวกับปู (340 เยน) สตอเบอร์รี่ก็ลูกใหญ่ หวาน อร่อยย สุดๆ คือไม่เคยกินสตอเบอรี่รสนี้ที่ไทยเลยอะ(1แพค 497 เยน ) เค้กสตอเบอรี่ให้เลือกมากมายโปะสตอเบอร์รี่ลูกใหญ่ สวยยยย เยอะแยะหลายแบบไปหมดเลย เลือกซื้อมาแบบราคาไม่แพงมากนัก อร่อยยยยยยยย (399 เยนต่อชิ้น) เค้าห่อให้อย่างดีเลยอะ มีน้ำแข็งแห้งให้ด้วย แต่ว่าน้ำแข็งแห้งเค้าก็ใส่กล่องแยกนะ ไม่ได้ใส่มากับตัวอาหารเหมือนบ้านเราโฮฮฮฮ คิดถึงเค้กที่ญี่ปุ่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น